Sunday, June 5, 2016

3 อาชีพเสริมเริ่มทำได้ เพิ่มรายได้แบบไม่ง้อเงินทุน

 วิธีหาเงินเข้ากระเป๋าให้มากขึ้น เริ่มต้นได้จากการทำอาชีพเสริมแบบไม่ต้องใช้เงินทุน เพื่อตัดปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย 
    
          มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ หลายครั้งคงแอบรู้สึกไม่ได้ว่าเงินเดือนที่ได้รับทุกวันนี้ค่อนข้างน้อย ต้องใช้แบบเดือนชนเดือน แถมยังต้องมานั่งลุ้นทุกสิ้นเดือนอีกว่าเงินจะหมดก่อนเงินเดือนออกไหม เพราะได้เงินมาไม่ทันไรก็หมดไปอย่างรวดเร็ว แถมบางครั้งยังไม่พอกับรายจ่ายที่มากมายในปัจจุบัน ซึ่งวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้คือการจดบันทึกรับ-จ่ายและลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง รวมถึงหารายได้เพิ่มด้วยการทำอาชีพเสริมค่ะ หลายคนอาจแย้งว่าไม่มีเงินลงทุนจะทำอาชีพเสริมได้อย่างไรจริง ๆ แล้วมีอาชีพเสริมหลายอย่างที่สามารถทำได้โดยไม่ใช้เงินทุนเพียงแค่อาศัยทักษะและมีใจรักเท่านั้น แต่จะมีอาชีพเสริมอะไรบ้าง K-Expert มีมาแนะนำดังนี้ค่ะ


รับจ้างรีวิวสินค้า

      สำหรับคนที่รักการเขียนเป็นชีวิตจิตใจ งานรับจ้างเขียนรีวิวสินค้า รีวิวโรงแรม ร้านอาหาร หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ผ่านทาง Blog เว็บไซต์ หรือ Social Media ต่าง ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการทำอาชีพเสริมแบบไม่ต้องใช้เงินลงทุนค่ะ ช่วงแรก ๆ อาจต้องขยันทำผลงานและอาศัยเวลาสักหน่อยเพื่อให้คนอ่านเชื่อถือและติดตามการรีวิวของเรา เมื่อสั่งสมประสบการณ์และเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น รวมถึงมีคนติดตามเป็นจำนวนมากแล้วก็มีโอกาสที่เจ้าของสินค้าหรือเจ้าของสถานที่ต่าง ๆ จะมาว่าจ้างให้เราเขียนรีวิวประชาสัมพันธ์ให้ ทำให้มีรายได้เข้ามา ซึ่งรายได้จากการเขียนรีวิวครั้งหนึ่งอาจสูงถึงหลักหมื่นบาทเลยทีเดียวค่ะ

ขายภาพออนไลน์

      หากเราเป็นคนหนึ่งที่ชอบแบกเป้สะพายกล้องออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และบันทึกภาพความสวยงามของธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เราก็สามารถสร้างรายได้จากภาพถ่ายสวย ๆ ของเราได้ด้วยการขายภาพทางออนไลน์ค่ะ ซึ่งปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ให้บริการขายภาพสต็อกออนไลน์อยู่มากมาย อย่างเช่น shutterstock.com, istockphoto.com

      วิธีการก็ไม่ยุ่งยากเพียงแค่เข้าไปลงทะเบียนสมัครสมาชิกพร้อมกับอัพโหลดภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายกราฟิกหรือคลิปวิดีโอต่าง ๆ รวมถึงใส่รายละเอียดภาพ ทั้งนี้บางเว็บไซต์อาจกำหนดให้ผู้สนใจส่งภาพไปทดสอบฝีมือก่อน เช่น ส่งไป 10 ภาพจะต้องผ่านอย่างน้อย 1 ภาพ เป็นต้น หากสอบผ่านตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก็สามารถอัพโหลดภาพที่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปขายได้เลยทันที และเมื่อภาพของเราขายได้ เราก็จะได้รับเงินผ่านทาง Paypal นั่นเองค่ะ ถือเป็นอาชีพเสริมที่เริ่มง่ายได้เงินจริงและน่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ

ขายสินค้าแบบ Dropship

      ส่วนคนที่อยากขายของออนไลน์แต่ยังไม่รู้จะขายอะไรดี การขายสินค้าแบบ Dropship ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเราแค่ทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งจะได้กำไรจากส่วนต่างราคาโดยที่เราไม่ต้องมานั่งสต็อกสินค้า แถมยังไม่ต้องจัดส่งสินค้าเองอีกด้วยค่ะ 
      หน้าที่ของเราก็คือเป็นตัวกลางขายสินค้าที่ติดต่อกับผู้ซื้อ-ผู้ขาย โดยนำภาพสินค้าและรายละเอียดมาลงประกาศขายในเว็บไซต์หรือโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์อย่าง Social Media ของเรา เช่น Facebook, Instagram ซึ่งอาจต้องมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เมื่อมีลูกค้าสนใจซื้อสินค้าก็เสนอราคาที่เหมาะสมแล้วให้ลูกค้าโอนเงินมาให้เรา หลังจากนั้นเราก็จะโอนเงินไปให้กับผู้ขายเพื่อให้ทำการจัดส่งสินค้าไปให้กับลูกค้าต่อไปค่ะ ใครที่ขายเก่ง ๆ มีทักษะในการขายและหาลูกค้าวิธีนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้เราเป็นอย่างมาก เพราะหากขายได้มากก็จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกันค่ะ

      จะเห็นได้ว่ามีอาชีพเสริมมากมายที่สามารถทำได้โดยไม่ใช้เงินทุน ดังนั้น ใครมีความรู้ความสามารถหรือทักษะด้านไหนก็นำมาใช้ให้เต็มที่ โชว์ศักยภาพที่เรามีทั้งหมดออกมาแล้วมองหาอาชีพเสริมที่ตรงกับความชอบความถนัดของเรา เพราะนอกจากจะได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้วยังทำให้มีรายรับเข้ามามากขึ้น ซึ่งช่วยแก้ปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายได้ ขอเพียงแค่เราเริ่มต้นลงมือทำ มีความขยันมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเทให้กับงานที่ทำอย่างเต็มที่ รายได้และความสำเร็จที่หวังไว้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วค่ะ
    

K-Expert Action

      • ศึกษาขั้นตอน วิธีการทำอาชีพเสริมที่สนใจ
      • เมื่อมีรายได้เข้ามาให้เก็บออมก่อนใช้สม่ำเสมอ อย่างน้อย 20% ของรายได้ในแต่ละเดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก





อ้างอิงบทความจาก http://money.kapook.com/view148582.html

Friday, May 27, 2016

The Journey of Flower :: ตำนานรักเหนือภพ

เมื่อช่วงเดือนที่แล้วใช้เวลาไปกับการทำอะไรที่ไม่เคยทำไปหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การอ่านนิยายจีน หลายสิบเล่มเลยทีเดียว //คืออ่านเอาจำนวนไรงี้ 555 ซึ่งปกติไม่อ่านนิยายแนว Romance นะ อ่านแต่กำลังภายในอะไรแบบนี้ แต่พอได้เริ่มอ่าน กลับวางไม่ลงแฮะ แต่หนังสือไม่กี่เล่มที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอน ต้องอ่านจนจบเท่าเรื่องนี้ ใช่แล้ว มันคือเรื่อง...

ตำนานรักเหนือภพ

เขียนโดย Fresh กั่วกัว 
แปลโดย พริกหอม

ภาพประกอบจาก https://tanzmay.com

ตำนานรักเหนือภพเป็นนิยายในชุด "มากกว่ารัก" ของสำนักพิมพ์แจ่มใส มีด้วยกันทั้งสิ้น 3 เล่ม พิมพ์ครั้งแรกเมื่อมิถุนายน 2556 โดยคำโปรยของสำนักพิมพ์เขียนไว้ว่าเรื่องนี้ ไม่ได้เน้นความรักอย่างที่สุด ไม่ได้เน้นประวัติศาสตร์อย่างที่สุด ไม่ได้กุ๊กกิ๊กขบขันอย่างที่สุด และไม่ได้เน้นความเข้มข้นซับซ้อนของปมเรื่องอย่างที่สุด //ส่วนตัวแล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องความรักที่ทั้งซับซ้อนและเข้มข้นที่สุดเลยนะ 555


ตัวละครหลักในเรื่องนี้ ได้แก่

  • ฮวาเชียนกู่ - เด็กหญิงซึ่งมีกลิ่นอายประหลาด ดึงดูดภูติผีปิศาจ ความฝันสูงสุดคือการได้เป็นศิษย์ของไป๋จื่อฮว่า แต่โชคชะตาพลิกผลัน ทำให้ต้องกลายเป็นเจ้าสำนักเขาเหมาซานอย่างไม่คาดคิด
  • ถังเป่า - หนอนภูตที่เกิดมาจากเลือดของฮวาเชียนกู่ เลยเรียกฮวาเชียนกู่ว่าท่านแม่กู่โถว
  • ไป๋จื่อฮว่า - เจ้าสำนักเขาฉางหลิว เป็นเซียนเทพพิสุทธิ์ หลุดพ้นจากเรื่องราวทางโลก ไม่เคยรับผู้ใดเป็นศิษย์มาก่อน
  • เซวียนหยวนหล่าง - องค์รัชทายาท ว่าที่จักรพรรดิ ถูกส่งมาฝึกวิชาในสำนักเซียนกลางหุบเขา เป็นเพื่อนคนแรกของฮวาเชียนกู่
  • ตงฟางอวี้ชิง - บัณฑิตหนุ่มผู้รอบรู้ (รู้ทุกเรื่องจริงๆ ต้องอ่านแล้วจะรู้ว่าทำไมถึงรู้ได้ทุกเรื่องขนาดนี้) เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์ และกลไกต่างๆ คอยช่วยเหลือฮวาเชียนกู่อยู่ตลอดเวลา
  • ซาเซียนโม่ - จอมมารผู้เป็นประมุขสองภูมิ คือ แดนปีศาจ และแดนมาร มีความงามล้ำเลิศอย่างแยกเพศไม่ออก (และแน่นอน งามจนหลงรักรูปตัวเอง 555)


ตัวเอกของเรื่องคือ ฮวาเชียนกู่ เป็นเด็กหญิงที่ชีวิตประดุจต้องคำสาป แต่มีจิตใจที่ดีงามมาก (ในเรื่องไม่ได้บรรยายว่านางเป็นคนสวย ใครเห็นแล้วต้องปิ๊ง แต่จะออกแนวน่ารักน่าเอ็นดู รวมถึงการเป็นคนที่มีจิตใจดี ทำให้ใครๆ ก็เอ็นดูนาง) ต้องออกจากบ้านไปฝากตัวกับสำนักเซียน เพราะพ่อแม่ตายหมด แต่ระหว่างทางก็ได้เจอกับมิตรภาพดีๆ ทำให้คนอ่านไปซึมซาบและรักตัวละครแทบทุกตัวในนั้น

เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงภพภูมิทั้ง 6 วิถีแห่งเซียน ออกแนวแบบไซอิ๋วอะไรอย่างนั้น คนไม่เคยอ่านนิยายจีนอย่างเรา แรกๆ จะอ่านยากนิดนึง เพราะชื่อตัวละครก็จำยาก เยอะด้วย แต่สักบทสองบทก็เริ่มเข้าที่ อ่านได้สนุกมากขึ้น เนื้อเรื่องในเล่ม 1 จะทำให้เข้าใจพื้นเพของตัวเอก รวมถึงตัวละครอื่นๆ ที่นางเอกได้เดินทางไปเจอ เหมือนเราโตไปพร้อมๆ กันกับนางเอกเลย เพราะกว่าจะจบเล่ม 3 เนื้อเรื่องก็ดำเนินมาเป็นสิบปีแล้ว ดราม่าของเรื่องนี้เริ่มกันตั้งแต่เล่ม 1 เลย โศกนาฎกรรมเริ่มมาเป็นระลอก และมาจัดเต็มในเล่ม 2 จนทำให้อ่านแล้ววางไม่ลง ไม่หลับไม่นอนเลย 555 //คือทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากความรักชัดๆ เพียงแต่ไม่ใช่รักหวานแหวว ทำไมสำนักพิมพ์บอกไม่ได้เน้นความรักหล่ะ?

ส่วนเล่ม 3 ก็ยังทำให้เราอึดอัดต่อไป จนวางไม่ลงอีกนั่นแหละ 555 คือไม่สามารถเดาได้เลยว่าสุดท้ายเรื่องจะจบดีหรือร้าย จนถึงหน้าสุดท้ายก็ยังอึน มึน ถึงกับซึมไปหลายวันเลย ไม่ใช่ว่าจบไม่ดี หรือเศร้า หรือแฮปปี้เอนดิ้งนะ แต่เพราะอารมณ์สงสารนางเอกต่อเนื่องมาจากเล่ม 2 ยันเล่ม 3 ทำไมจิตใจนางยับเยินได้ขนาดนี้ ฮือออ

สำหรับใครไม่อยากอ่านหนังสือ ก็มีการทำเป็นซีรีย์ออกมาเหมือนกันนะ คิดว่าว่างๆ + พร้อมจะจิตตกอีกเมื่อไหร่ จะลองหาดูเหมือนกัน มีทั้งหมด 50 ตอนแน่ะ หน้าตานักแสดงก็ประมาณนี้ ฮวาเชียนกู่น่ารักดี ไป๋จื่อฮว่าก็โอเค เพียงแต่เรามโนไว้อีกลุค แถมได้เห็น screenshot ตอนท้ายๆ คอสตูมนางเอกมันไม่ใช่อ่ะ!!


ภาพประกอบจาก https://www.facebook.com/TheJourneyofFlower





Monday, May 23, 2016

ทารก

“แล้วมันจะเอาไปทำอะไรได้?” 

คุ้นๆมั้ยครับ คำถามเชิงประชดประชัน ประมาณนี้จาก ใครบางคน ในที่ทำงาน หรือ ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งมักจะถูกถาม ตามมาติดๆ หลังจากที่ คุณตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างมากๆ 
มากจนเผลอเสนอ “ความคิดแปลกๆ” ออกไป โดยที่อาจจะยังไม่ได้คิดถี่ถ้วนเท่าไร
ยังจำความรู้สึก ได้มั้ยครับ 
ความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น ในความเป็นไปได้ ที่อาจจะยังไม่ชัดเจนนัก 
ถูกเปลี่ยนเป็น ความกระอักกระอ่วน ความขวนเขิน ปน ความเซ็ง ภายในชั่วพริบตา 
ยิ่งถ้า “หัวหน้า” เป็นคนถาม และ ถามต่อหน้าคนหมู่มาก 
เราก็อาจจะ ยิ้มแหะๆ และ แอบกระซิบเบาๆกับตัวเองว่า 
“ฉันไม่น่าพูดออกไปเล้ยยยย” 

ตอนที่ผมศึกษาเรื่อง “การสร้างนวัตกรรม” ผ่าน “ความคิดเชิงออกแบบ”
หรือที่เรียกว่า “ดีไซน์ ติ้งกิ้ง (Design Thinking)” ที่อเมริกา 
ผมยังจำเหตุการณ์ในวันแรกๆได้แม่น ตอนที่เรียนเรื่องการ “ระดมสมอง” 
อาจารย์ในชั้นเรียน เล่าถึง อาจารย์อีกท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด 
ชื่อว่า “ลีนุส พอลลิ่ง (Linus Pauling)” 
อาจารย์ภาควิชาเคมี ที่เคยได้รับ “รางวัลโนเบล” ในสาขาวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ ถึง “สองครั้ง” ด้วยกัน
เรียกได้ว่า “อัจฉริยะ” คนหนึ่งของโลกก็ว่าได้ 
เคยมีคนถามเขาว่า “ท่านสร้างสิ่งใหม่ๆออกมามากมายได้อย่างไร” 
“หนทางที่ดีที่สุด ในการได้มาซึ่งความคิดดีๆ ก็คือ การมีความคิดจำนวนเยอะๆ” เขาตอบ 

บทเรียนแรกในเรื่องของการ “ระดมสมอง” 
คือ การเน้น “ปริมาณ” ไม่ใช่ “คุณภาพ” 
หา ….. อะไรนะ 
ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด 
“เน้นปริมาณ ไม่เน้น คุณภาพ” คือ หนทางสู่นวัตกรรม 
หมายถึงว่า ความคิดจะดูบ้าบอ แค่ไหนก็ไม่ว่ากัน ขอให้คิดออกมาเยอะๆก่อน
ฟังดู “ไม่ยาก” ใช่มั้ยครับ 
ทีนี้ อาจารย์ผมเลยให้ลองทำ “กิจกรรมระดมสมอง” ดู โดยให้โจทย์ ระดมสมองมาว่า 
“เสื้อผ้าเก่าๆที่บ้าน เอาไปทำอะไรได้บ้าง”
ง่ายสิครับ ผมกับเพื่อนๆ ก็ช่วยกันคิดกันสนุกสนาน 
“เอาไปใช้เป็นผ้าขี้ริ้ว”
“เอาไปบริจาคให้คนที่เขาไม่มี” 
“เอาไปซักแล้วขายเป็นเสื้อผ้ามือสอง”
“เอาไปแลกกับเพื่อน”
“เอาไป ……..” 
เริ่มตันครับ คิดไม่ออกละ หันไปหันมา ก็เจออาจารย์กำลังเดินดุ่มๆมาที่กลุ่มเรา 
 “ผมบอกว่าเน้นปริมาณ ไม่ใช่ คุณภาพ ทำไมได้น้อยจัง” อาจารย์ถาม
พวกเราก็บอกว่า “ก็มันคิดได้ประมาณนี้ครับ ที่พอจะเป็นไปได้” 
อาจารย์บอกซ้ำ “เน้นปริมาณ ไม่เน้นคุณภาพ ไม่เน้นความเป็นได้ เน้นจำนวน” 
พวกเราก็งงๆ ก็มันคิดได้เท่านี้ คิดไม่ออกแล้ว 
อาจารย์แกเลยเขียน อะไรสักอย่างลงบนกระดาษ “โพส-อิท” 
แล้วแปะลงบนกระดานต่อหน้าพวกเรา พร้อมหัวเราะเล็กๆ และ เดินไปตรวจงานกลุ่มอื่นต่อ 
พวกเราทุกคนดูกระดาษใบนั้น และ อ่านพร้อมกัน
 “เอาไว้เป็นอาหารเช้า ”
!?!?!?!?!?!?!!?!?!?!?!?!?!?!?
อึ้ง ทึ่ง เสียว ฮก หลก ซิ่ว …… นี่เราเรียนอะไรกันอยู่ อาจารย์ท่าจะบ้าไปแล้วแน่ๆ 
นี่ “ผ้า” นะเฟร้ยยยย ไม่ใช่ “มันสำปะหลัง”  จะเอาไป “กิน” ได้อย่างไร
ในขณะที่ผมและเพื่อนๆกำลัง งงๆ อยู่นั้นเอง 
อาจารย์ก็เดินกลับมา ยิ้มเยาะ พร้อมย้ำกับเด็กๆที่กำลังจะได้ “บทเรียน” อีกที
“เน้นปริมาณ ไม่เน้น คุณภาพ ผมบอกคุณแล้วใช่มั้ย” 
เราก็เริ่มถึงบางอ้อ กันทีละคน สองคน 
ถึงแม้ว่า อาจารย์สั่งให้ คิดออกมาเยอะๆ ก่อน ไม่ต้องคิดถึง “ความเป็นไปได้”
แต่ สมองของเรา ระบบการคิดเก่าๆของเรา ที่อาจจะได้มาจากระบบการศึกษาที่เน้น “ความถูกต้อง” 
หรือแม้แต่ การทำงานที่ยกย่อง “ความมีเหตุมีผล” มากกว่า “ความคิดนอกกระแส”
ทำให้เรา “ติดกรอบ” ของความเป็นไปได้ ติดกับดัก “มุมมองแคบๆ” ของเราเอง
คงจะต้องยอมรับว่า“การพูดอะไรที่ดูจะเป็นไปไม่ได้” หรือ “การนำเสนอความคิดที่ดูบ้าบอ” นั้น 
เป็นเรื่องที่เรา “ไม่ถนัด” 
เพราะฉะนั้น ไอ้ตอนแรกที่เราคิดว่า การหาปริมาณความคิดเยอะๆ แบบที่ ลีนุส พอลลิ่ง แนะนำไว้ นั้น ทำได้ง่ายๆ 
จริงๆแล้ว “ไม่ง่าย” เลย
บทเรียนสำคัญของ “การสร้างนวัตกรรม” 
จะระดมสมองได้ดี ต้องเน้น “ปริมาณ” 
จะเป็น “นวัตกร” ที่ดี ต้องก้าวข้ามเรื่อง “ความเป็นไปไม่ได้” ในใจของเราก่อน 
จะว่าไป เสื้อผ้าที่กินได้ ก็ ไม่ใช่เรื่องที่จะ “เป็นไปไม่ได้” ซะทีเดียว 
เนื้อผ้าที่ทำจาก “เส้นใยธรรมชาติ” ท้องเราก็อาจจะย่อยได้ ใครจะไปรู้ 
จะเป็นไปได้ หรือ ไม่ได้ มันก็อาจจะเป็นแค่เงื่อนไขของ เวลา เทคโนโลยี หรือ พฤติกรรมมนุษย์ ที่เปลี่ยนไป แค่นั้นเอง

นอกจากคุณ “หนุ่มเมืองจันท์” แล้ว ผมยังมีนักเขียนอีกท่านเป็น  “ไอดอล” ครับ 
เขาคนนั้นชื่อ “พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์” เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัท เวิร์คพอยท์ และ วงเฉลียง 
เป็นทั้งนักเขียน นักแต่งเพลง คนทำรายการทีวี นักวาดภาพ หรือแม้แต่ สถาปนิก
ด้วยประสบการณ์การทำงานด้าน “ศิลปะ” หลากหลายแขนง
จะเรียกว่า พิ่จิก เป็นคนที่มี “ความคิดสร้างสรรค์” มากที่สุดคนหนึ่งในประเทศ ก็คงจะไม่ผิดนัก
ผมชอบที่พี่จิกเขียนไว้ในหนังสือโปรดเล่มหนึ่งชื่อว่า “ประโยคย้อนแสง” 
“ความคิดใหม่ๆนั้นบอบบางเหลือเกิน 
มันฉีกขาดด้วยคำท้วงเบาๆ หรือ ถูกแทงให้ทะลุขาดวิ่นด้วยการทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ 
แม้แต่ประโยคสั้นๆว่า มันจะเป็นไปได้หรือ ก็ทำให้ความคิดใหม่ๆระเหิดหายไปได้
… เราต้องปกป้องมันด้วยแรงที่มีทั้งหมดนั่นแหละ 
เราจึงพามันไปเปลี่ยนแปลงโลกรอบๆตัวเราได้ …”
เพล้งงง ….. “แตกฉาน” ได้ด้วยตัวเอง 
ขอคารวะ พี่จิก สองจอก ครับ

กลับมาเล่าต่อถึง “คำถามจั่วหัว” ข้างต้น 
“มันจะเอาไปทำอะไรได้?” 
ไมเคิล ฟาราเดย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
เจ้าของทฤษฎี “การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า” ที่เป็นพื้นฐานของ “นวัตกรรม” มากมายในยุคนี้ 
เคยนำเสนอทฤษฎีนี้ ต่อ “วิลเลียม แกลดสโตน” รัฐมนตรีการคลังของอังกฤษ ในขณะนั้น
“แล้วไอ้ที่คุณค้นพบเนี่ย มันเอาจะเอาไปทำอะไรได้ล่ะ” เขาถามด้วยความประชดประชัน
เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร และ จะตอบกลับไปว่าอย่างไร 
……………………………………
ฟาราเดย์ ตอบ “แล้วเด็กทารกมีประโยชน์อะไรบ้างล่ะท่าน …. “
แกลดสโตน อึ้งกับคำตอบ ยังไม่ทันจะได้เปิดปากถามต่อ ฟาราเดย์ก็สรุปอย่างคมคายว่า  
“ถ้าเราดูแลเด็กทารกดีๆ สักวันหนึ่ง เขาจะกลับมาจ่ายให้ภาษีให้แก่ประเทศอย่างแน่นอน … “
ครับ …  “ความคิดใหม่ๆ” ก็เช่นกัน

ขอบคุณบทความดีๆ จาก ธุรกิจพอดีคำ (5 พ.ค. 2559) กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร และเฟซบุคเพจ แปดบรรทัดครึ่ง

Saturday, May 21, 2016

ข้อควรระวัง สำหรับผู้ใช้ชีวิตในประเทศไทย

ลองอ่านกันดู มีข้อไหนไม่จริงบ้างนะเนี่ย

ข้อควรระวัง สำหรับผู้ใช้ชีวิตในประเทศไทย

1. ข้ามทางม้าลาย ดูรถเสมอ : ห้ามเชื่อสัญญาณไฟ เพราะต่อให้ไฟเขียวคนเดิน ไฟแดงสำหรับรถ ก็อาจเจอรถชนได้

2. ขึ้นสะพานลอย : อย่าจับราวบันได ยกเว้นคนก่อนหน้าจับไปแล้ว โดยเฉพาะวันฝนตก อาจโดนไฟดูด //ส่วนตัวไม่จับเพราะคิดว่าสกปรก แต่ก็เห็นด้วยนะ สายไฟประเทศนี้ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีระเบียบขนาดไหน

3. เดินฟุตบาทระวังรถ : อย่ามัวเล่นมือถือ อาจมีจักรยานยนต์ย้อนศร //ทั้งจักรยาน ทั้งมอเตอร์ไซค์ เผลอๆ ไม่ได้แค่ชนนะ ชิงมือถือไปเลยจ้า

4. อย่าสัมผัสโลหะโดยไม่จำเป็น : ตู้โทรศัพท์ เสาไฟ เสาโทรศัพท์ ป้ายรถเมล์ ป้ายไฟโฆษณา หรือโลหะทุกชนิดที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นแม้แต่ใกล้ทุ่งนา ไฟอาจจะดูดตายได้ //เหตุผลเดียวกับข้อ 3 เลย

5. ถ้าฝนตก ให้อยู่ห่างจากเสาไฟ : ไฟรั่วมีได้ทุกที่

6. เข้ารถต้องล็อคทันที : โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าไม่อยากโดนจี้

7. เดินคนเดียวอย่าใส่ทอง / อย่าถ่ายรูป : ถ้าไม่อยากโดนจี้

8. อย่ามองหน้าใคร และอย่าหลบตาใคร : เพราะบางกรณีถือเป็นการท้าทาย และเป็นข้ออ้างของพวกปล้นทรัพย์ ซึ่งถ้าเราตาย อีกฝ่ายจะบอกว่า เราไปหาเรื่องเค้าก่อน //ประเทศนี้ช่างอยู่ยาก

9. นั่งรถคาด Safty Belt เสมอ ไม่ว่าจะนั่งที่จุดไหน เพราะว่าคุณไม่รู้หรอกว่า จะมีใครเมาแล้วขับมาชน (อุบัติเหตุแบบนี้เจอมากในไทยมากกว่าประเทศอื่น) //นอกจากเมาแล้วขับ ยังจะแชทแล้วขับอีกด้วย

10. แต่ต้องพร้อมถอด Safty Belt วิ่งออกนอกรถเสมอ : โดยเฉพาะ เวลามีรถคอนเทนเนอร์วิ่งข้างๆแบบไม่มีสลักนิรภัย

11. เวลาขับรถ ควรขับตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด แม้มันจะช้า เพราะว่าคุณไม่รู้หรอกว่า เมื่อไหร่คุณจะเจอ คนขับย้อนศรมา แบบไม่เปิดไฟ คนขับปาดหน้า ลูกแมวกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ หรือรถเครนล้มลงมา

12. และอย่าขับช้าไป เพราะอาจจะเจอชนท้าย หรือโดนส่องไฟสูง //มอเตอร์เวย์เจอประจำ จะรีบไปไหนคะ?

13. ขับรถต้องใจเย็น หนักนิดเบาหน่อยปล่อยผ่านไป เพราะเราไม่รู้ว่าใครบ้างที่มีปืน

14. ติดกล้องหน้า (และหลังรถ) เพราะเป็นที่รู้กันดีนานมาแล้วว่า ประเทศไทยไม่มีพยานเท็จและไม่มีแพะ //เป็นอันว่ารู้กันนะยูววว

15. ถ้ามีเหตุยิงกันตามท้องถนน : ให้ล็อครถ เปิดไฟฉุกเฉิน และหมอบลงต่ำๆ หรือถ้าอยู่นอกรถ ให้หาที่กำบังและหมอบลงต่ำ ส่วนมากความแม่นยำของพวกนี้ต่ำ มักยิงโดนทุกอย่างยกเว้นคนที่มันอยากยิง (?) //ดะ...เดี๋ยวนะ

16. ทุกช่วงเทศกาล ควรอาศัยในอาคารชั้นล่าง เพราะวันดีคืนดี อาจมีกระสุนตกลงมาจากฟ้า //เกลียดมาก ยิงหาพ่องงง

17. ทุกครั้งที่ยืนใกล้ถนน ให้ระวังคนผลักเสมอ มีทั้งที่ไม่ตั้งใจ และผลักให้รถชนแบบตั้งใจ

18. ทุกครั้งที่ยืนเดินหรือนั่งกินอาหารอยู่ข้างถนน
ให้ระวังรถพุ่งขึ้นมาชน ให้มองต้นไม้ขนาดใหญ่ เสาไฟฟ้า หรือตู้โทรศัพท์ที่จะลดแรงปะทะได้ มองหาร้านค้าที่จะกระโดดหลบเข้าไปได้ ทั้งนี้ที่ผ่านมา ป้ายบอกทาง ป้ายโฆษณา เสาไฟกล้องดำ... น่าจะลดแรงปะทะไม่ได้ โปรดหลีกเลี่ยง

19. ทำประกัน : ทุกสิ่งเกิดได้จริงๆ และหลายครั้งหาคนรับผิดชอบไม่ได้... บางครั้งหาได้ แต่ฝั่งนั้นไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

20. บอกคนในครอบครัวไว้ด้วย ว่าหากตายไปกระทันหัน เอกสารประกัน/สมุดบัญชีเก็บไว้ที่ใด

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเพจ หมอแมว

Friday, May 20, 2016

[Review] Garnier Dark Spot Corrector ผสม Vitamin C 5%

วันนี้ขอมารีวิวเซรั่มผสมวิตามินซี 5% ของ Garnier ที่ได้ลองใช้มาสักพัก หน้าตาเป็นอย่างนี้

รูปภาพประกอบจากอินเตอร์เนต


ว่าแล้วก็มาดูสรรพคุณข้างกล่องกันก่อนเลย
- มีส่วนช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยดำที่เกิดจากการ aging รวมถึงรอยดำที่เกิดจากสิว (Acne marks, Dark spots, Age spots)
- เหมาะกับทุกสภาพผิว
- ผสมวิตามินซีเข้มข้น 5%
- ขนาด 50 ml

เอาจริงๆ จุดขายก็คือเจ้าตัววิตามินซี (Ascorbic Acid) กับราคาค่าตัวของมันนี่แหละ ประกอบกับเหล่า beauty blogger พากันรีวิว ทำให้ถึงกับขาดตลาดไปพักนึงเลย

5% ที่ใส่มานี้ ขายในราคาเพียง... 299 บาท!!! (น่าจะหากันได้ในราคาถูกกว่านี้) //ราคาเอื้อมถึงง่าย ทำให้กล้าซื้อมาลอง เพราะถูกกว่าเซรั่มวิตามินซีเจ้าอื่นๆ ที่ขายในราคาหลายพันบาทไง

ผลจากการใช้
- ชอบนะ ชอบกลิ่นการ์นิเย่ไลน์สีเหลือง หอมชื่นใจ ฮ่าๆๆ เนื้อเซรั่มสีขาวขุ่น เราทาทั่วหน้าเลย หลังอาบน้ำ ซึมไวพอสมควร
- รู้สึกว่ามันทำให้ผิวใสขึ้น สว่างขึ้นนิดนึง //ก่อนหน้านี้อยู่แต่ในทะเล หมองคล้ำขั้นหนัก แต่ก็ห่างทะเลมาสักพัก จะสว่างขึ้นก็ไม่แปลกเนอะ
- รอยด่างดำก็จางลงจริง จากการใช้บ้างไม่ใช้บ้างเป็นเวลา 2 เดือน ของแบบนี้ต้องใช้เวลา
- แต่ๆๆ... มันทำให้หน้าเราเป็นตุ่มผื่นเล็กๆ อ่ะ ผิวหน้าคนโชคร้ายบางคน (เช่นเรา) จะระคายเคืองกับวิตามินซี ทำให้ผิวเกิดอาการเป็นผื่นขึ้นมาแหละ แก้ปัญหาโดยทาบางๆ หรือใช้วันเว้นวัน อาจจะดีขึ้น (มั้ง?)
- หลอดใหญ่พอควร ซื้อมาได้ 2 เดือนแล้วก็ยังใช้ไม่หมดเลย
- ก็คงใช้ต่อไปจนกว่าจะหมดแหละ ผื่นนั่นก็ค่อยหาทางรักษากันต่อไป เพราะช่วงนี้ต้องการความสว่างอย่างแรง T^T

หลอดแรกและหลอดปัจจุบัน บีบจนบุบบี้ไปหมดเลย ฮี่ๆๆ






Thursday, May 19, 2016

Will และ Shall ใช้อย่างไร

โดยปกติที่เราได้ร่ำเรียนกันมาตามตำราภาษาอังกฤษ Shall ก็จะต้องใช้กับ I, We (ประธานบุรุษที่ 1) ส่วน Will ก็จะใช้กับ You, They, He, She, It (ประธานบุรุษที่ 2) เช่น

They will go to Japan tomorrow.
(พวกเขาจะไปญี่ปุ่นกันในวันพรุ่งนี้)

I shall go to bed early.
(ฉันจะเข้านอนแต่หัวค่ำ)

//แต่ในความจริงแล้ว เรามักจะใช้ I will กันมากกว่า I shall ก็เถอะนะ

แต่ในกรณีที่เมื่อใดที่เราต้องการสื่อถึง ความตั้งใจ หรือการให้คำสัญญา เราจะต้องสลับการใช้ Will และ Shall จากตัวอย่างข้างต้น เช่น

I will try to get the best results.
(ฉันจะพยายามทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด)

If you buy jeans more than 2,000 bahts, they shall give you 30% discount.
(ถ้าคุณซื้อยีนส์ในราคามากกว่า 2,000 บาท เขาจะให้ส่วนลดกับคุณ 30%)




(\ /) 
( . .) 
c(")(")  ... 

Wednesday, May 18, 2016

สอบโทอิค 2016 (TOEIC)

เมื่อกลางวัน (16/05/2016) ได้โทรศัพท์ไปจองที่นั่งสอบโทอิคของสถาบัน Center of Professional Assessment (Thailand) มา //โทรติดยากมาก สายไม่ว่างตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ให้ตายเถอะ!

ตั้งใจว่าจะสอบวันพุธตอนบ่าย ปรากฎเจ้าหน้าที่บอกว่าเต็มแล้วครับผม ต้องเป็นตอนเช้าแทน ก็สะเทือนใจกันไป เพราะเท่ากับว่าต้องตื่นเช้ามากขึ้นเพื่อฝ่ารถติดไปถึงตึก BB ก่อนเวลาสอบตอน 9 โมงเช้า //บรรดาโรงเรียนก็พากันเปิดเทอมแล้วด้วย ฮือออ

เวลาโทรฯ ไปเจ้าหน้าที่ก็จะถามว่าจะสอบวันไหน รอบเช้าหรือบ่าย เลขที่บัตรประชาชน วันเกิด ชื่อ-สกุลภาษาอังกฤษ (เท่าที่จำได้จากการสอบครั้งแรก ส่วนนี้ต้องสะกดให้เจ้าหน้าที่ฟังทีละตัว แต่ถ้าเคยสอบมาก่อน ก็จะถามชื่อ-สกุลเฉยๆ ไม่ต้องสะกดให้ฟังแล้ว)

ค่าสอบอยู่ที่ 1,500 บาทถ้วน สำหรับการทดสอบแบบปกติ (The Redesigned TOEIC - Listening and Reading) //ใครมีหนทางหา voucher มาเพื่อเป็นส่วนลดในการสอบก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ เพราะค่าสอบก็ค่อนข้างแพง

ห้ามลืมเด็ดขาด!!! เวลาไปสอบต้องเตรียมปากกา ดินสอ ยางลบ และ บัตรประชาชน หรือใบขับขี่ หรือ Passport ตัวจริงไปเพื่อยืนยันตนด้วยนะ //ข้อมูลล่าสุดคือที่ศูนย์เตรียมปากกา ดินสอ ยางลบไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เอาอะไรเข้าห้องไม่ได้นอกจากกระเป๋าสตางค์ที่ไม่มีเหรียญ

สถานที่สอบใน กทม.
ตึก BB Building ชั้น 19 ห้อง 1907 ถนนอโศกฯ  สุขุมวิท 21 กรุงเทพ 10110
Tel. 02-260-7061, 02-259-3990
Fax. 02-664-3122
E-mail: toeic@cpathailand.co.th
Website: CPAThailand

จุดสังเกตคือตึก GMM เดินมาเรื่อยๆ ผ่าน มศว., LH Bank ตึก BB จะมีร้าน Eve and Boy สีชมพูเด่นอยู่ด้านหน้าเลย

BB Building Map
การเดินทาง
- MRT สถานีเพชรบุรี ออกทางประตู 2 (ท่าเรืออโศก) //ออกมาแล้วเดินเลาะไปทางขวามือเลย มองตึก GMM ไว้เป็นพอ
- BTS สถานีอโศก ออกทางประตู 3
- รถเมล์ สาย 38, 98, 136, 185
- เรือ ลงที่ท่าเรืออโศก

หมายเหตุ
- ไปก่อนเวลา 1 ชั่วโมงเป็นดีที่สุด เพราะต้องเข้าคิวทำโน่นนี่ (ถ่ายรูป จ่ายเงิน ฟัง จนท. อธิบาย ฯ) อีกประมาณ 3-4 จุด
- กรณีที่ไปไม่ทัน หรือยกเลิกการสอบน้อยกว่า 1 วัน จะถูกคิดค่าปรับเพิ่มในครั้งหน้า 500 บาทจากราคาค่าสอบปกติ //แต่ผู้หญิงข้างหน้าเราโดนชาร์จไป 800 บาท ไม่รู้นางไปทำอะไรมา
- ถ้าไปสอบคนเดียว ไม่มีญาติมิตรไว้ฝากของ อย่าพกของมีค่ามาเยอะ เพราะเอากระเป๋าเข้าห้องสอบไม่ได้ แต่มีชั้นไม้ไว้สำหรับให้วางของในห้องที่เราไปลงทะเบียนนั่นแหละ
- เอาอะไรเข้าห้องไม่ได้ นอกจากกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆ (นาฬิกาข้อมือก็ต้องถอดไว้ด้านนอก แม้แต่ยาดมก็ห้าม T_T)
- เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ห้องน้ำหญิงมีแค่ 2 ห้อง การยืนรอคิวเข้าห้องสอบนานพอสมควร เพราะตรวจจุกจิกเหมือนกัน
- หลังสอบเสร็จ ใครต้องการให้ส่งผลสอบเป็น EMS ก็ไปติดต่อที่ห้องลงทะเบียนเหมือนเดิม ค่าใช้จ่าย 50 บาท
- แต่ถ้าใครจะไปรับเอง ก็สามารถรับได้ในวันทำการถัดไป ต้องเอาเอกสารลงทะเบียนตัวจริง และบัตรประชาชน/ใบขับขี่/Passport ตัวจริงไปเป็นหลักฐานด้วย
- เตรียมตัวมาเยอะๆ เราทำ Reading 10 ข้อสุดท้ายไม่ทัน เสียดายมากๆ
- ขอให้ทุกท่านโชคดี

ข้อมูลเพิ่มเติมในการสอบ





(\ /) 
( . .) 
c(")(")  ...